วันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เกร็ดความรู้เรื่องเหล็กน้ำพี้

บ่อเหล็กน้ำ พี้ เป็นแหล่งสินแร่เหล็กตามธรรมชาติ ตั้งอยู่ที่ บ้านน้ำพี้ หมู่ 1 ตำบลน้ำพี้ อำเภอทองแสนขัน จังหวัดอุตรดิตถ์ ห่างจากตัวจังหวัดอุตรดิตถ์ประมาณ 56 กิโลเมตร โดยเป็นบ่อเหล็กกล้า[1]มีอยู่ด้วยกันหลายบ่อ และปรากฏเตาถลุงเหล็กโบราณนับพัน ๆ แห่งในพื้นที่หลายตารางกิโลเมตร แต่บ่อที่สำคัญและสงวนใช้สำหรับพระมหากษัตริย์มีอยู่ 2 บ่อ คือ บ่อพระแสง และ บ่อพระขรรค์ มีการนำแร่เหล็กจากบ่อเหล็กน้ำพี้ไปถลุงทำอาวุธเพื่อใช้ในการศึกสงครามมา ตั้งแต่สมัยโบราณ ดังปรากฏหลักฐานทางประวัติศาตร์มากมายถึงความสำคัญของเหล็กน้ำพี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีความเชื่อมาแต่โบราณว่าเหล็กจากแหล่งแร่เหล็กน้ำพี้มี ความแข็งแกร่งและมีความศักดิ์สิทธิ์ มีอาถรรพ์ในตัว โดยจัดให้เหล็กน้ำพี้อยู่ในโลหะธาตุตระกูลเดียวกับเหล็กไหล
ปัจจุบันบ่อเหล็กน้ำพี้ได้รับงบประมาณ จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดสร้างอาคารและปรับภูมิทัศน์ โดยจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านบ่อเหล็กน้ำพี้ เปิดให้ประชาชนเข้าชมได้ทุกวัน
เมื่อกล่าวถึง เหล็กน้ำพี้ หลายคนต้องนึกถึงเมืองอุตรดิตถ์ อันเป็นถิ่นกำเนิดที่รู้จักกันมาอย่างช้านาน โดยยังไม่ทราบอย่างแน่ชัดว่าใครเป็นผู้ค้นพบเป็นคนแรก แต่มีความเชื่อกันทั่วอย่างแพร่หลายทั่วไปว่า ทนสิทธิ์ คือมีดีมีความขลังความศักดิ์สิทธ์ มีอาถรรพณ์ ป้องกันคุณไสยเสนียดจัญไรต่างๆ มีพุทธคุณดีในตัวเองทุกด้าน ถ้ามีไว้ในบ้านมีอาถรรพณ์ป้องกันคุณไสยเสนียดจัญไรต่างๆ คนโบราณประจักษ์กันว่าเป็นเหล็กกล้าเนื้อดีที่นำมาตีเป็นดาบเป็นอาวุธที่ วิเศษ ชั้นดีเลิศ
เหล็กน้ำพี้ ได้ชื่อว่าเป็นเหล็กที่มีคุณภาพดีที่สุดในประเทศไทย มีความแข็งแกร่งและเหนียวเป็นพิเศษ เมื่อตีเป็นดาบหรืออาวุธต่างๆ จะมีสีเขียววาวเหมือนสีปีกแมลงทับ ดาบคู่มืออันลือชื่อของพระยาพิชัยดาบหักที่มีชื่อว่า “ดาบนันทกาวุธ” นั้นก็ตีจากเหล็กน้ำพี้ พระเครื่องชั้นยอดของไทย เช่น พระพิจิตรเม็ดข้าวเม่า ก็มีส่วนผสมของเหล็กน้ำพี้เป็นสำคัญ และเมื่อ “พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว” รัชกาลที่ 7 เถลิงถวัลยราชสมบัติ หลวงจริงราชษฎ์เจริญ นายอำเภอตรอน จังหวัดอุตรดิตถ์สมัยนั้นได้นำแร่เหล็กจากบ่อพระแสงตำบลน้ำพี้ มอบให้พระยาวิเศษถาชัย ข้าหลวงประจำจังหวัดอุตรดิตถ์(2469-2471) นำไปตีเป็นพระแสงดาบ แล้วนำขึ้นทูลเกล้าฯถวาย ซึ่งเป็นพระแสงศาสตราวุธมาจนทุกวันนี้
ปัจจุบันเหล็กน้ำพี้ใช่เป็นเพียงเหล็ก ชั้นเยี่ยมของประเทศไทยเท่านั้น แต่เป็นเหล็กชั้นเยี่ยม หนึ่งในโลกก็ว่าได้จากชื่อเสียงและความต้องการทางด้านอุตสาหกรรม ทำให้สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีแห่งประเทศไทย กระทรงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการพลังงานมีความสนใจสืบค้นหลักฐานประวัติศาสตร์ ความเป็นมา และจัดตั้งคณะทำงานเดินทางมายังบ่อเหล็กน้ำพี้ต้นตอของเรื่องทีเดียวหลังจาก ได้นำแร่เหล็กจากบ่อพระแสงี่บ้านน้ำพี้ไปทำการวิเคราะห์มวลสารแล้วได้ยืนยัน ว่าเหล็กน้ำพี้มีองค์ประกอบของแร่ธาตุที่หาได้ยาก มีความแข็งและเหนียวเป็นพิเศษ มีคุณลักษณะอ่อนในแข็งนอก ซึ่งนักปกครองและนักวัสดุศาสตร์ในไทยได้ค้นพบโดยประสบการณ์มานับร้อยปีแล้ว เป็นโลหะที่มีความสำคัญยิ่งต่อการอุตสาหกรรม และเมื่อทางสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ฯ นำผลวิจัยและวิเคราะห์นั้นมาสังเคราะห์สร้างขึ้นใหม่ตามกระบวนการทางวิทยา ศาสตร์ด้วยการผสมวัตถุที่ค้นพบตามสัดส่วนนำการหลอมเหล็กออกมาก็สามารถที่จะ นำไปสร้างเป็นอุปกรณ์และเครื่องมือเครื่องใช้ โดยขณะนี้ได้ร่วมกับกรมวิทยาศาสตร์ทหารบก ดำเนินการผลิตตัวอย่างมีดทหารและเครื่องมือเครื่องใช้อื่นๆจะได้ถ่ายทอด เทคโนโลยีให้กับเอกชนในภายหลังเพื่อประโยชน์ในการอุตสาหกรรมต่อไปด้วย เหล็กน้ำพี้ได้ชื่อว่าเป็นเหล็กที่มีคุณภาพดีที่สุดในประเทศไทย มีความแข็งแกร่งและเหนียวเป็นพิเศษ เมื่อตีเป็นดาบหรืออาวุธต่างๆ จะมีสีเขียววาวเหมือนสีปีกแมลงทับ ดาบคู่มืออันลือชื่อของพระยาพิชัยดาบหักที่มีชื่อว่า “ดาบนันทกาวุธ” นั้นก็ตีจากเหล็กน้ำพี้ พระเครื่องชั้นยอดของไทย เช่น พระพิจิตรเม็ดข้าวเม่า ก็มีส่วนผสมของเหล็กน้ำพี้เป็นสำคัญ
บทความทางวิชาการ จากรายงานวิเคราะห์แร่เหล็กน้ำพี้ และโลหะเหล็กน้ำพี้ด้วยเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัยของภาควิชาวิศวกรรม โลหการคณะวิทยาศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและกรมวิทยาศาสตร์ทหารบกโดยการนำ เอาตัวอย่างสินแร่จากบ่อพระแสง และบ่อพระขรรค์ ตำบลน้ำพี้ อำเภอตรอน จังหวัดอุตรดิตถ์ มาวิเคราะห์หาคุณสมบัติต่างๆ สรุปได้ว่า แร่เหล็กที่ตำบลน้ำพี้ อำเภอทองแสนขัน จังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นแร่เหล็กที่มีคุณภาพดีที่สุดของเมืองไทย ควรนำวิทยาการสมัยใหม่ทำการประยุกต์ผลิตเหล็กที่มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับ เหล็กน้ำพ้ำเป็นเครื่องใช้และเครื่องมือสำคัญก็ช่วยประหยัดงบประมาณของ ประเทศได้อย่างมากคุณพิเศษของแร่เหล็กน้ำพี้ มีองค์ประกอบของแร่หลายชนิด เช่น เหล็กแมงกานิส , ซิลิคอน , อลูมิเนียมและไทเทเนียม ส่วนธาตุอื่นๆมีอยู่ถึง ๒๐ ธาตุ พบว่ามีธาตุแปลกๆเช่น เซอร์โคเมียม, โบรอน ,อาร์เซนิค , ดีบุก ,ไนโอเนียม ,โดบอลต์ คุณสมบัติพิเศษอีกอย่างหนึ่งก็คือ มีความแข็งแรงและเหนียวอีกทั้งไม่เป็นสนิม มีสีเขียวเหมือนปีกแมงทับ เชื่อว่าเกิดจากอ๊อกไซร์ของเหล็ก ขณะเผาแล้วตี อ๊อกไซร์เหล่านี้จะเกิดขึ้นบริเวณผิวเกาะกันหนาทำให้มองเห็นเป็นสีเขียวกัน ไม่ให้เกิดสนิมเช่นอลูมิเนียมอ๊อกไซร์และโครเมียมอ๊อกไซร์เป็นต้นข้อสังเกตุ ในการตีดาบโบราณ กับการตีดาบในปัจจุบัน ในอดีตนั้นการตีดาบแต่ละเล่มจะใช้เนื้อเหล็กแท้ๆ โดยการเผาแล้วขูดเอาขี้ตะคันเหล็กออกจนหมดเมื่อได้เนื้อเหล็กแล้วจึงมาตี เป็นดาบหรือเครื่องใช้คุณสมบัติก็คือเนื้อดาบจะมันเงาไม่เป็นสนิมและมีความ คมกริบแทบไม่ต้องฝนเลยต่างกับการตีดาบในปัจจุบันที่แร่เหล็กที่นำมาตีนั้นหา ยากจึงนำเอาขี้ตะคันมาหลอมใหม่แล้วจึงนำมาตีแต่ก็ยังคงมีเนื้อเหล็กหลงเหลือ อยู่บ้างการตีดาบในสมัยนั้นต้องมีพิธีกรรมเริ่มจากการนำแร่การหาของผสมให้ ครบการก่อเตา ตีดาบการขุดเอาแร่ผู้ขุดจะต้องทำตัวให้บริสุทธิ เช่น ถือศีลเป็นเวลา ๗ - ๑๕ วัน นุ่งขาวห่มขาว หาฤกษ์วันเวลาในการบวงสรวงเจ้าที่ เพื่อขออนุญาติเจ้าที่ในการขุดตัดแร่เหล็ก น้ำพี้ซึ้งต้องทำพิธีตัดแร่กันในวันดับคือแรม ๑๕ ค่ำ เพราะเชื่อว่าจะได้แร่เหล็กที่ดีที่สุด และทำพิธีล้อมแร่เพื่อป้องกันแร่ธาตุหนี (พิสูจน์แร่เหล็กน้ำพี้ได้ โดยการนำแม่เหล็กมาใกล้ๆจะดูดติดทันที ไม่ว่าจะเป็นดาบ หรือลูกประคำ คนที่นับถือจะนำมาสักการะในรูปแบบต่างกันออกไปเช่นนำไปบูชานำไปคล้องคอ เพื่อเป็นสิริมงคลและเชื่อว่าจะสามารถป้องกันไม่ให้สิ่งร้ายๆเข้ามาใกล้ตัว ได้)เหล็กน้ำพี้ของดีเมืองอุตรดิตถ์ที่ได้มีการบอกเล่ามาหลายชั่วอายุคน มีตำนานเรื่องเหล็กน้ำพี้ ดาบน้ำพี้ ของนักปกครองไทยแต่สมัยโบราณรวมทั้งศาสตราวุธของพระมหากษัตรย์ที่ทำด้วย เหล็กได้ผ่านจากบ่อพระแสง และได้รับการยืนยันทางวิทยาการเป็นครั้งแรกเหล็กน้ำพี้โดยการอเคราะห์ทาง วิทยาศาสตร์ของสถาบันวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย แล้วพบหลักฐานยืนยันได้ กล่าวคือ มีคุณสมบัติเยี่ยมไม่แพ้เหล็กกล้าชั้นดีของประเทศต่างๆ เลย รวมทั้งให้แนวคิดด้านอารยะธรรมด้วย เช่น
ญี่ปุ่น มี ดาบซามูไร แสดงศิลปอารยธรรม ของชนชั้นปกครอง
อาหรับ มี ดาบวงพระจันทร์ หรือ ดาบดามัสกัส แสดงศิลปะอารยธรรม ของชนชั้นปกครอง
ไทย ได้รับการยืนยันอย่างแน่นอนว่า ดาบน้ำพี้ คือเครื่องหมายที่แสดงถึงศิลปะอายธรรมของชนชั้นปกครองของ ไทยแต่โบราณ
เหล็กน้ำพี้ เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่สืบเนื่องแห่งศิลปะอารยะธรรมไทยสมัยอยุธยาที่สูญหาย เป็นช่วงๆให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น อีกอย่างหนึ่ง หมู่บ้านน้ำพี้ แห่งเมืองพิชัย-เมืองตรอนตรีสินธุ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ ในอดีต คาดว่าเป็นคลังแสงสรรพาวุธของอาณาจักรไทยสมัยสุโขทัยและสมัยกรุงศรีอยุธยา ที่ได้สร้างอาวุธนานาชนิดขึ้นกู้ชาติบ้านเมืองและป้องกันประเทศอย่างมี ประสิทธิภาพนับร้อยๆปีแล้ว ควรแก่การระลึกถึง หลักฐานเบื้องต้นหลายอย่างทำให้คิดว่าบ้านน้ำพี้ การตีเหล็กน้ำพี้ ตำบลบ่อทอง อำเภอทองแสนขัน จังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นแหล่งผลิตอาวุธที่สำคัญก็คือ พบเตาหลอมเหล็กในพื้นที่ต่างๆ จำนวนมากนับเป็นพันๆเตาในพื้นที่หลายตารางกิโลเมตร นอกจากนี้ ความรู้ทางวัสดุศาสตร์จากเหล็กน้ำพี้เป็นกุญแจไขความลับในอดีตที่สามารถนำมา ประยุกต์ใช้กับคนรุ่นปัจจุบันได้อีกหลายประการโดยเฉพาะอย่างยิ่งลดดุลการนำ เข้าเครื่องมือเครื่องใช้ที่ประกอบด้วยเหล็กที่เราสามารถสร้างขึ้นเองได้ เช่น มีด พร้า เสียม จอบ หัวไถ สิ่ว ขวาน ค้อน และไขควง เป็นต้น

เกร็ดความรู้เรื่องข้าวตอกพระร่วง

ข้าวตอกพระร่วง ข้าวพระร่วง ตามตำนานผู้เฒ่าผู้แก่ได้เล่าสืบต่อกันมาว่า "ในวันใส่บาตรเทโวที่บนลานวัดเขาพระบาทใหญ่ เมื่อพระร่วงฉันภัตตาหารเสร็จ ข้าวที่เหลือจากก้นบาตรท่านได้โปรยลงบนลานวัดและทรงอธิษฐานว่า...

"ให้ ข้าวตอกดอกไม้นี้กลายเป็นหินชนิดหนึ่ง และมีอายุยั่งยืนนานชั่วลูกชั่วหลาน" ดังนั้น ข้าวตอกพระร่วงที่ชาวบ้านเรียกขานกันจึงหมายถึงหินรูปสี่เหลี่ยมโดยธรรมชาติ ที่ฝังตัวอยู่ในหินก้อนใหญ่ ส่วนข้าวพระร่วงหรือข้าวกับบาตรพระร่วงนั้นจะมีลักษณะคล้ายเมล็ดข้าวสุกฝัง ตัวอยู่ในหินสีดำ
ข้าวตอกพระร่วงมีลักษณะเป็นหินก้อนเล็ก ๆ รูปทรงสี่เหลี่ยมลูกบาศก์คล้ายกับลูกเต๋า มีสีสนิมเหล็กหรือสีน้ำตาลไหม้คล้ำ ๆ มีหลายขนาด แต่จะมีหน้าราบขนาด ๒.๓ ซม. ก้อนเล็ก ๆ จะมีขนาดประมาณครึ่งเซนติเมตร สำหรับก้อนที่ใหญ่ ๆ นั้น หากเราลองทุบ ให้แตกออก ลักษณะที่แตก ออกจากกันนั้นก็จะคงรูปสี่เหลี่ยมลูกบาศก์เล็ก ๆ อีกเหมือนกัน จะมีเพียงบางก้อนที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมยาว หินเหล่านี้ จะมีปะปนอยู่ทั่วไปพบมากบริเวณเขา พระบาทใหญ่ ต.เมืองเก่า อ.เมือง จ.สุโขทัย ผู้เชี่ยวชาญทางด้านธรณีวิทยา ได้ตรวจสอบแล้วสรุปว่า แร่ที่ชาวบ้าน เรียกว่าข้าวตอก พระร่วงนี้ คือ แร่โลหะชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า "แร่ไพไรต์" นั่นเอง อีกชนิดหนึ่งมีลักษณะ คล้ายเม็ดข้าวสารฝังจม ปนอยู่ในหินแร่เหล่านี้ด้วย ชาวบ้าน เรียกว่า ข้าวสารพระร่วง ทั้งสอง ชนิดนี้เป็นที่นิยมกันว่าศักดิ์สิทธิ์ ผู้ใดมีไว้ถือว่าเป็นสิริมงคล มีความสุขความเจริญด้วย โภคทรัพย์ต่าง ๆ นอกจากนั้นยังนิยม นำมาฝนกับ แผ่นกระเบื้องบดยาหยดน้ำลงไปด้วย ขณะที่ฝนแล้วนำน้ำนั้นมาทาบริเวณที่ถูกพิษแมลงสัตว์กัดต่อย เป็นต้นว่า ตะขาบ มด แมลงป่อง ก็จะหายจากอาการเจ็บปวดอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง ชาวบ้านนิยมนำมาดับพิษแมลงเวลาถูกต่อย จะใช้กันอย่าง แพร่หลายด้วยความศรัทราส่วนคนเฒ่าคนแก่ที่กินหมากนั้น จะนิยมนำข้าวตอก พระร่วงมาใส่ปนกับสีผึ้งทาปากตลับละหนึ่งถึงสองเม็ด เหตุที่ทำเช่นนี้เพราะเชื่อว่ามีเมตตา มหานิยมดี โดยเฉพาะเม็ดที่ติดกันชาวบ้านเรียกว่า "อมกัน" นิยมกันมากว่ามีเมตตามหานิยมมากยิ่งขึ้น

ต่อมาข้าวตอกพระร่วงและ ข้าวสารพระร่วง มีผู้นำมาเจียระไนเป็น เครื่องประดับ และ เข้าพิธีพุทธาภิเษก เมื่อ ๑๒ เมษายน ๒๕๒๗ ทำให้ประชาชน ให้ความสนใจใคร่มีไว้เป็นสิริมงคลกันมาก ปัจจุบันจึงค่อนข้างหายาก สาเหตุที่เป็นที่นิยมของชาวบ้านว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ทั้งนี้เพราะมีความ เชื่อ เกี่ยวกับเรื่อง พระร่วงวาจาสิทธิ์ เมื่อครั้งพระองค์เสด็จมาประพาสป่า หยุดเสวย พระกระยาหารกลางวันแล้ว จึงนำข้าวโปรยไว้บนเขาพระบาทใหญ่แล้วกล่าวว่า จงเป็นข้าวตอกดอกไม้ ดังนั้นจึงกลายเป็น ข้าวตอกพระร่วง ข้าวสารพระร่วง ตามวาจาสิทธิ์นั้น
ข้าวตอกพระร่วง
คือ แร่ชนิดหนึ่งเป็นแร่ LIMONITE คือออกไซด์ของเหล็กชนิดหนึ่ง (2Fe2 O3 . H2O) เนื่องจากแร่นี้ไม่มี crystal form มีลักษณะเป็น colloid จึงสามารถเกิดเป็นผลึกโดยอาศัยรูปผลึกของแร่อื่นได้ ในกรณีของข้าวตอกพระร่วงนี้อาศัยรูปผลึกของแร่ PYRITE (Fe S2) จึงเรียกว่า Limonite Pseudomorphed after Pyrite แร่นี้มีพบมากที่จังหวัดสุโขทัยพบฝังอยู่ในหินผุตามเชิงเขาพระบาทใหญ่ เมื่อทุบให้แผ่นหินผุแตกจะพบหินเป็นรูปสี่เหลี่ยมคล้ายลูกเต๋าสีสนิมเหล็ก หรือสีน้ำตาลไหม้เล็กบ้างใหญ่บ้าง ก้อนใหญ่หน้าราบขนาดราว2-3 เซนติเมตร ก้อนเล็กราวครึ่งเซ็นติเมตร และก้อนใหญ่บางก้อนนั้น ถ้าทุบให้แตกอีกก็จะแตกเป็นก้อนย่อย ๆ รูปสี่เหลี่ยมอีกเหมือนกัน แต่บางก้อนเป็นรูปสี่เหลี่ยมยาวก็มี ชาวบ้านเรียกหินชนิดนี้ว่า ข้าวตอกพระร่วง เชื่อกันว่าเป็นของขลังและศักดิ์สิทธิ์ ป้องกันอสรพิษได้ ถ้าถูกแมลงมีพิษกัดต่อยให้เอาหินก้อนนั้นกดทับตรงบาดแผลจะระงับพิษได้ บางคนก็เอามาเลี่ยมทำเครื่องประดับใช้เป็นเครื่องราง
พระร่วง
พระ ร่วง เป็นชื่อบุคคลผู้เป็นวีรบุรุษ เป็นผู้นำของสังคม สังคมไทยโบราณนิยมสืบต่อเรื่องราวเก่าทำนองตำนาน นิทานปรัมปรา นิทานพื้นบ้าน เป็นแบบมุขปาฐะ เล่ากันปากต่อปาก (oral history) ต่อมาจึงมีการจดบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ในบรรดาเรื่องราวเกี่ยวกับผู้นำทางวัฒนธรรม เรื่อง "พระร่วง" เป็นเรื่องที่ถูกหยิบยกมาเล่าขานทั้งในฐานะผู้นำทางวัฒนธรรมตามตำนาน ฐานะวีรบุรุษผู้มีตัวตนจริงของประวัติศาสตร์ และในฐานะสัญลักษณ์ของผู้รู้ และความเป็นปราชญ์

เรื่องของพระร่วงมีตำนานเล่ากันมาหลายเรื่อง ซึ่งมิได้ระบุว่าเป็นกษัตริย์สมัยสุโขทัยพระองค์ใด พ่อขุนศรีอินทราทิตย์เมื่อเสด็จขึ้นครองราชสมบัติในกรุงสุโขทัยก็เรียกว่า "ราชวงศ์พระร่วง" ทำให้คนทั้งหลายเข้าใจว่า พระร่วงคงจะเริ่มตั้งแต่พ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นต้นมา พ่อขุนรามคำแหงมหาราชที่เรียกนามในภาษาบาลีว่า "โรจนราช" กล่าวกันว่าเป็นพระสหายกับพระเจ้าเม็งรายมหาราชที่นครเชียงใหม่ และพ่อขุนงำเมืองแห่งนครพะเยา พระนามของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชนี้ในหนังสือเก่าเรียกตามภาษามคธว่า "รามราช" แต่ยังมีคำที่คนทั้งหลายเรียกพระนามกษัตริย์สุโขทัยอีกคำหนึ่งว่า พระร่วง ในพงศาวดารบางฉบับกล่าวว่า พระร่วงนี้มีบุญญาภินิหาร และฤทธิเดชเลิศล้ำ แม้ในพงศาวดารของประเทศใกล้เคียง เช่น ในพงศาวดารมอญ พงศาวดารลานนาไทย ก็ยังได้กล่าวถึงพระร่วงเมืองสุโขทัย ทุกวันนี้ยังมีสิ่งที่ออกพระนามพระร่วงด้วยหลายสิ่ง เช่น ข้าวตอกพระร่วง ปลาพระร่วง ทำนบพระร่วง หนังสือไตรภูมิพระร่วง สุภาษิตพระร่วง ปากพระร่วง (ผู้มีวาจาสิทธิ์ว่าอะไรเป็นอย่างนั้น) และที่สุดเรือรบของไทยลำหนึ่งก็ชื่อ เรือพระร่วง ล้วนเป็นคำที่ประกอบกับคำที่เล่าเรื่องพระร่วงสืบกันมา

สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอุตสาหะสอบสวนค้นคว้าทางโบราณคดีและรวบรวมเรื่องราวเป็นข้อวินิจฉัย ให้ชื่อว่า นิทานโบราณคดีเรื่องพระร่วง จึงขอนำมาสรุปดังนี้
ใน หนังสือพงศาวดารเหนือ กล่าวถึงชาติวงศ์ของพระร่วง ในเรื่องอรุณกุมาร (อรุณ คือ ศัพท์ภาษามคธแปลว่า ร่วง) ว่า พระยาอภัยคามะนีเจ้าเมืองหริภุญชัย (ลำพูน) ไปจำศีลบนภูเขาแห่งหนึ่ง ไปพบนางนาคซึ่งจำแลงเป็นมนุษย์มาเที่ยวเล่น เกิดสมัครรักใคร่ได้อภิรมย์สมรสอยู่ด้วยกัน 7 วัน นางมีครรภ์กลับไปเมืองนาค เมื่อจะคลอดลูกก็ขึ้นมาคลอดที่ภูเขาเพราะเกรงว่าถ้าคลอดในเมืองนาคอาจไม่มี ชีวิตรอดเพราะมีเชื้อมนุษย์ เมื่อคลอดทารกชายแล้วก็ทิ้งไว้ในป่าพร้อมกับแหวน ผ้าห่ม และของที่พระยาอภัยคามะนีประทานนางไว้ มีพรานป่าไปพบทารกนั้นจึงพามาเลี้ยงไว้ เกิดอัศจรรย์ต่าง ๆ ปรากฏที่ตัวเด็กอย่างผู้มีบุญ ความทราบถึงพระยาอภัยคามะนี ตรัสเรียกไปทอดพระเนตร เมื่อทรงทราบเรื่องที่พรานป่าไปพบและทอดพระเนตรเห็นของที่อยู่กับตัวเด็ก ก็ทราบชัดว่าเป็นราชบุตรที่เกิดกับนางนาค จึงประทานนามว่า "อรุณกุมาร" แล้วเลี้ยงไว้ในที่ลูกหลวง ต่อมามีราชบุตรเกิดด้วยอัครมเหสีอีกองค์หนึ่ง ประทานามว่า "ฤทธิกุมาร" อยู่ด้วยกันมาจนเติบใหญ่

พระยาอภัยคามะ นีปรารถนาจะหาเมืองให้อรุณกุมารครอบครอง ทราบว่าเจ้าเมืองศรีสัชนาลัยมีแต่ราชธิดา จึงสู่ขอนางนั้นให้อภิเษกสมรสกับอรุณกุมาร อรุณกุมารจึงไปอยู่เมืองศรีสัชนาลัยต่อมาก็ได้ครองเมืองนั้น ทรงพระนามว่า "พระร่วง" ส่วนฤทธิกุมารนั้นเมื่อเติบใหญ่ก็ได้อภิเษกสมรสกับราชธิดาพระยาเชียงใหม่ และได้ครองเมืองเชียงใหม่ ทรงพระนามว่า "พระลือ" เมื่อทั้งสองอาณาเขตมีเจ้าเมืองเป็นพี่น้องกันเช่นนี้ บ้านเมืองก็เป็นสัมพันธมิตรสืบกันมา เรื่องอรุณกุมารนี้พระร่วงเป็นเชื้อมนุษย์กับนาคระคนกัน และเป็นวงศ์กษัตริย์วงศ์หริภุญชัยในลานนา

เรื่องพระร่วงใน พงศาวดารเหนืออีกเรื่องหนึ่ง เรียกว่า พระร่วงส่วยน้ำ กล่าวว่า มีชายชาวเมืองละโว้คนหนึ่งชื่อ "คงเครา" เป็นนายกองคุมคนตักน้ำในทะเลชุบศรส่งไปถวายพระเจ้าปทุม สุริยวงศ์ ณ เมืองขอม นายคงเครามีบุตรคนหนึ่งชื่อ นายร่วง เป็นผู้มีบุญด้วยวาจาสิทธิ์ คือถ้าว่าอะไรให้เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น แต่ไม่รู้ตัวว่ามีฤทธิ์อย่างนั้น จนอายุได้ 11 ปี วันหนึ่งพายเรือไปในทะเลชุบศร เรือทวนน้ำทำให้เหนื่อยมากจึงออกปากว่า ทำไมน้ำไม่ไหลกลับไปทางนั้นบ้าง พอว่าขาดคำ น้ำก็ไหลกลับไปอย่างว่าเด็กร่วงก็รู้ตัวว่ามีวาจาสิทธิ์ แต่ปิดความไว้ไม่ให้ผู้อื่นรู้ ครั้นนายคงเคราถึงแก่กรรมพวกไพร่ก็พร้อมใจกันยกนายร่วงขึ้นเป็นนายกองส่วย น้ำแทนพ่อ ครั้นต่อมานักคุ้มข้าหลวงเมืองขอมคุมเกวียนมารับส่วยน้ำตามเดิม นายร่วงเห็นว่ากล่องน้ำที่ทำมานั้นหนัก จึงให้ไพร่สานชะลอมขึ้นเป็นอันมาก แล้วให้เอาชะลอมจุ่มลงไปในน้ำ ลั่นวาจาสิทธิ์สั่งน้ำให้ขังอยู่ในชะลอมก็เป็นเช่นว่า

นักคุ้ม ข้าหลวงเห็นเช่นนั้นก็ฤทธิ์นายร่วง รีบรับชะลอมน้ำกลับไปยังเมืองขอม ทูลพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ว่า มีผู้วิเศษเกิดขึ้นที่เมืองละโว้ พระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ทรงวิตกเกรงว่าจะเป็นกบฏ จึงแต่งกองทหารให้มาจับตัวนายร่วง แต่นายร่วงได้ยินข่าวรู้ตัวก่อน จึงหนีออกจากเมืองละโว้ขึ้นไปทางเมืองเหนือ ไปบวชเป็นภิกษุอยู่ ณ วัดแห่งหนึ่งในเมืองสุโขทัย คนจึงเรียกกันว่า "พระร่วง" เพราะเหตุที่บวชเป็นพระ ฝ่ายทหารขอมมาถึงเมืองละโว้ รู้ว่านายร่วงรู้ตัวหนีขึ้นไปเมืองเหนือ ทหารขอมผู้หนึ่งก็ติดตามไปเที่ยวสืบเสาะได้ความว่า นายร่วงหนีไปอยู่เมืองสุโขทัย มิรู้ว่าไปบวชเป็นพระ จึงดำดินลอดปราการเข้าไปในเมือง เผอิญไปโผล่ขึ้นที่ลานวัดที่พระร่วงกำลังกวาดอยู่ พระร่วงเห็นเข้าก็รู้ว่าเป็นขอมแต่ขอมไม่รู้จักพระร่วง จึงถามพระร่วงว่า "รู้หรือไม่ว่านายร่วงที่มาจากเมืองละโว้อยู่ที่ไหน" พระร่วงก็ลั่นวาจาสิทธิ์ว่า "สูอยู่ที่นั่นเถิดรูปจะไปบอกนายร่วง" พอว่าขาดคำขอมก็กลายเป็นหินติดคาแผ่นดินอยู่ตรงนั้น ด้วยอำนาจวาจาสิทธิ์ของพระร่วง ชาวเมืองสุโขทัยรู้ว่าพระร่วงเป็นผู้มีบุญ เมื่อพระเจ้ากรุงสุโขทัยสิ้นพระชนม์ เสนาอำมาตย์จึงพร้อมใจกันเชิญพระร่วงขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ทรงพระนามว่า "พระเจ้าศรีจันทราบดี"

สมเด็จฯพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงพระนิพนธ์ขยายความเพิ่มเติมอีกว่า เรื่องพระร่วงทั้งสองเรื่องนี้ จะเชื่อว่าพระร่วงเป็นลูกนางนาคจริง หรือจะเชื่อว่าพระร่วงมีวาจาสิทธิ์จริง ดูก็ผิดธรรมดาทั้งสองสถาน ถ้าพิจารณาดูศักราชตามที่อ้างในพงศาวดารเหนือทั้งสองเรื่องนั้นว่าเป็นรัช สมัยของพระร่วงนั้นก็แตกต่างกันไกล ในเรื่องอรุณกุมารว่าพระร่วงได้ครองบ้านเมืองราว พ.ศ. 950 แต่ในเรื่องพระร่วงส่วยน้ำ พระร่วงได้ครองบ้านเมืองเมื่อราว พ.ศ. 1500 ผิดกันตั้ง 500 ปี ยิ่งมาถึงสมัยได้ศิลาจารึกครั้งกรุงสุโขทัย ตรวจหาความรู้เรื่องพงศาวดารเหนือหลักฐานที่มีอยู่เดิมในเรื่องพระร่วงดูก็ ยิ่งคลาดเคลื่อนมากขึ้น ตามศิลาจารึกไทยเพิ่งชิงอำนาจจากขอมมาตั้งตนเป็นอิสระเมื่อพ.ศ. 1800 ภายหลังสมัยพระร่วงที่อ้างในพงศาวดารเหนือหลายร้อยปี ผู้ที่ชิงอาณาเขตสุโขทัยจากขอมได้ทรงพระนามว่า "พ่อขุนบางกลางท่าว" เจ้าเมืองบางยาง เมื่อได้เมืองสุโขทัยแล้วทำพิธีราชาภิเษกเป็นพระเจ้าแผ่นดินทรงพระนามว่า "พ่อขุนศรีอินทราทิตย์" ต่อมา "พ่อขุนบาลเมือง" ราชโอรสองค์ใหญ่ของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน กษัตริย์ที่สืบทอดต่อ ๆ มาก็คือ "พ่อขุนรามคำแหงมหาราช" "พระเจ้าเลอไทย" "พระเจ้าลือไทย"(พระเจ้าธรรมราชา) ทั้งห้าองค์ครองราชสมบัติสืบต่อกันมาตั้งแต่ พ.ศ. 1800-1921 นานถึง 121 ปี กรุงสุโขทัยจึงตกเป็นประเทศราชของกรุงศรีอยุธยาในรัชกาลของสมเด็จพระบรม ราชาธิราช (ขุนหลวงพงั่ว)

ข้อสำคัญอย่างหนึ่งในศิลาจารึกไม่มี พระนาม "พระร่วง" ปรากฏสักแห่งเดียว จะเข้าใจว่าพระร่วงเป็นแต่นิทานไม่มีตัวจริงก็ไม่ได้ ด้วยประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงกับกรุงสุโขทัยในสมัยนั้น ต่างเรียกพระเจ้ากรุงสุโขทัยว่า "พระร่วง" ทั้งสิ้น เช่นในเรื่องราชาธิราชก็อ้างว่า พระร่วงได้ชุบเลี้ยงมะกะโทและทรงส่งเสริมให้เป้นพระเจ้าฟ้ารั่วครองเมืองมอญ ในพงศาวดารโยนกก็กล่าวว่า เมื่อพระยาเม็งรายสร้างเมืองเชียงใหม่ได้เชิญ"พระร่วงเมืองสุโขทัย"กับ" พระยางำเมืองเมืองพะเยา" ผู้เป็นสหายไปปรึกษา หนังสือตำนานพระพุทธสิหิงค์ซึ่งพระโพธิรังษีแต่งเป็นภาษามคธที่เมือง เชียงใหม่ ก็แปลงคำ "พระร่วง" เป็น "รังคราช" ว่าได้พระพุทธสิหิงค์จากเมืองนครศรีธรรมราชข้นไปไว้ ณ เมืองสุโขทัย และที่สุดชาวกรุงศรอยุธยาก็เรียกกันทั่วไปว่า "พระร่วง" จึงเห็นว่า "พระร่วง " นั้นคงเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ครองกรุงสุโขทัยพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในห้า พระองค์นั้น ซึ่งทรงอานุภาพเลิศล้ำเป็นที่ยำเกรงแก่นานาประเทศใกล้เคียง และคงเลื่องลือระบือพระเกียรติแต่ยังทรงพระนามว่าพระร่วง ไม่เปลี่ยนไปเรียกตามพระนามใหม่ที่ถวายเมื่อราชาภิเษก ตัวอย่างเช่น พระเจ้าอู่ทองเมื่อตั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นอิสระทรงพระนามเมื่อราชาภิเษกว่า สมเด็จพระรามาธิบดี แต่ไพร่บ้านพลเมืองก็ยังเรียกว่า พระเจ้าอู่ทอง อยู่นั่นเอง การที่จะวินิจฉัยเอาเรื่องพระร่วงเข้าในพงศาวดาร จึงอยู่ที่ต้องพิจารณาหาหลักฐานว่าพระองค์ใดในพระเจ้าแผ่นดินกรุงสุโขทัย 5 พระองค์นั้นเป็นพระร่วง แล้วพิจารณาต่อไปว่า เหตุใดจึงเรียกว่า "พระร่วง"

เกร็ดความรู้เรื่องแก้วโป่งข่าม

ลักษณะความเชื่อ เกี่ยวกับอย่างไหนใช้ทางใด
ความเชื่อถือและนิยมเกี่ยวกับแก้วโป่งข่ามนั้นมีผุ้นิยมเชื่อถือตาม ประสบการณ์และความเชื่อดั้งเดิมดังนี้
1.การอยู่ยงคงกระพัน
- แก้วสีฟ้า หรือฟ้าหมอก
- แก้วปวกเขียวและปวกสีต่างๆ
- แก้วขนเหล็ก แก้วไหมทอง ไหมเงิน ไหมนาก
- แก้วขาว
- แก้วเข้าเป๊ก หรือแก้วพวกที่สหชาติกับแร่ธาตุอื่นๆเช่น เป๊กหน้าทั่ง
- แก้วขนเหล็กน้ำตัน
2.การมีอำนาจชนะฝ่ายตรงข้าม
- แก้วเส้นต่างๆ
- แก้วฝนแสนห่า
3.การมีเมตตามหานิยม
- แก้วสีฟ้าแร
- แก้วเนื้อลำใย
- แก้วปวกเขียว ปวกสีต่างๆ
- แก้วกาบ
- แก้วตูลต่างๆ หรือแก้ววิทูรย์
- รวมทั้งแก้วหินทรายและแก้วหินสีต่างๆ
4.การมีฤทธิ์ คลาดแคล้ว และความสำเร็จ
- แก้วปวกเขียว ซึ่งมีเรื่องราวและประวัติมากที่สุด
5.การมีโชคและเป็นแม่แก้วต่างๆ
- แก้วเข้าแก้วจากหน่อแม่และหน่อโตน โตน คือ โทน
- แก้วเข้าเป๊ก
*** แม่แก้ว หมายถึง แก้วที่ชอบมีบริวารพ่วงตามมา เช่น เมื่อมีแก้ว 1 แล้ว มักจะได้ของดีตามติดกันมาอีก ผู้มีคาถาอาคมปลุกเสก ทดลองโดยเอาแก้ว 1 อธิษฐาน แก้วที่มีลักษณะเป็นแม่เหนือกว่า จะหันหัวเข้าไปหาแก้ว 2 ที่เป็นลูก
6.การมีโชคและลาภลอย
- แก้วแร
- แก้วเนื้อลำใย
7.การมียศ
- แก้วกาบ
- แก้วสุริยประภา หรือ แก้ววิตูลหนามเ^_^้ยง สีแดงเพลิง
8.ความชุ่มเย็นกันไฟ
- แก้วน้ำหาย
- แก้วเข้าแก้ว
- แก้วใสขาวต่างๆ
- แก้วเข้าหลักรูปต่างๆ
9.ความอยุ่เย็นเป็นสุข
- แก้วปวกต่างๆ
- แก้วกาบต่างๆ
- แก้ววิตูลสีน้ำตันต่างๆ
10.ความผจญภัย
- แก้วขนเหล็กน้ำใสและน้ำตันต่างๆ
- แก้วเข้าเป๊ก
11.ความมีชื่อเสียง อำนาจวาสนา ดีในการเดินทางและแสดงโชคลาง
- แก้วสีฟ้า
- แก้วหมอกมุงมอง
- แก้วปวก 3 สี
*** แก้วสีฟ้าและปวกสี เมื่อจะมีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลง สีซีดลงมักมีข่าวหรืออยู่ในระยะกังวล แก้วหมอกมุงเมือง เวลามีวาวมักโชคดีในการเดินทาง
12.ร่ำรวยมั่นคง
- แก้วสามกษัตริย์
- แก้วเข้าแก้ว
- แก้วประภาชื่นชม
- แก้วเข้าหลักเงิน หลักคำ
- แก้วกินบ่อเสี้ยง
- แก้วทรายคำ – หมัดคำ
13.ยศตำแหน่ง
- แก้วพรหมสามหน้า
- แก้วกาบ
- แก้วสุริยประภา
- แก้วสลัก
- แก้วปวกต่างๆที่มีปรากฏการณ์เติบโตได้
———————————-
อาจจะมีแก้วชนิดอื่นๆที่มีคุณต่างออกไป โดยผู้ใช้ต้องอาศัยประสพการณ์และการสังเกตดูการต้องโฉลกในการใช้ เพราะการใช้แก้วนั้น เราจะทราบทันทีกับเหตุการณ์ที่ได้แก้วนั้นมาในระยะที่เริ่มใช้ ตำรวจชอบแก้วปวกเขียว พ่อค้าชอบปวกเขียว ข้าราชการชอบปวกสีและสีฟ้า ทหารชอบขนเหล็กน้ำตันและขนเหล็กน้ำใส หนุ่มสาวชอบวิตูลสีต่างๆ พ่อค้าอาจไม่ชอบแก้วขนเหล็กเท่าตำรวจทหารที่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับโชคชัย ในการต่อสู้ แต่มิใช่โชคชัยในการค้าขาย
———————————-
มนุษย์เรามีความเชื่อถือในเรื่องพลังของแก้ว แต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ แก้วนิลสีน้ำตาลในพิพิธภัณฑ์ปารีส เคยถือว่าเป็นแก้วอัญมณี เครื่องโชคลางแห่งสก๊อตแลนด์ มีการสืบทอดแก้วที่ถือเป็นโชคลาง ระหว่างพระเจ้าชาร์ล เลอมัง จนถึงพระเจ้านโผเลียน จนถึงพระเจ้าหลุยส์นโปเลียนที่ 3
———————————-
แก้วโป่งข่ามยังมีคุณในแก้วต่างชนิด จากประสบการณ์ต่างๆตามลักษณะความเชื่อถือที่ ต่างออกไป
แก้วมังคละจุฬามณี
ลักษณะแก้วมังคละจุฬามณีในตำนาน อันจัดเป็นแก้วมีค่าคณานับในหมวดแก้วมรกต คือแก้วที่เข้าวรรณะเขียว มีลักษณะพิจารราได้ดังนี้

- แก้ววรรณะดั่งน้ำผึ้งในแก้วนั้นมีรูปสี่เหลี่ยม หมายถึงแก้วนั้นมีสีมรกต แต่เป็นแก้วที่ใสเหลือง โดยมองเห็นรูปสี่เหลี่ยม-ในแก้ว รูปสี่เหลี่ยมในที่นี้ ปรากฏอยุ่ในแก้วโป่งข่ามชนิดแก้วเข้าแร่เป๊ก ( เป๊กคือ แร่ตระ^_^ล ไพไรท์ หรือ เพชรหน้าทั่ง )
- มีรูปพระเจ้า รูปเจดีย์ ลักษณะของสลักลายหิน และแก้วเข้าแก้วทรงเจดีย์ และทรงพระพุทธรูป อาจเป็นแก้วเข้าแก้วผลึก และแก้วเข้าแก้วสีวาวทอง
- มีรูปไม้ศรีมหาโพธิ์ คือแก้วปวกเขียว ชนิดปวกปุยทรงต้นไม้
- มีรูปนกยุง นกเขียน หงส์ ช้าง ราชสีห์ เกวียน อยู่ข้างใน รูปดั่งสัตว์ต่างๆมีได้ในสลักลายหินและก้อนแร่ลักษณะต่างๆสิ่งที่อยุ่ข้างใน แก้ว ย่อมมีอยุ่ในแก้วโป่งข่ามได้ คำว่าวรรณะเหลืองในที่นี้ หากแก้วนั้นบริบูรณ์ด้วยลักษณะในดังกล่าว สีทองสุกปลั่งและสีเหลือง บุษรา ปวกไรเหลือง ไรแก้ว ย่อมให้วาวสีเหลืองแก่แก้วได้
——————————————————————-
หมวดแก้วมรกต
1.มังคละจุฬามณี วรรณะดั่งน้ำผึ้ง ในแก้วมีรูปสี่เหลี่ยม รูปพระพุทธเจ้า รูปเจดีย์ รูปต้นโพธิ์ รูปนกยูง รูปนกเขียน รูปหงส์ รูปช้าง รูปราชสีห์ รูปรถ รูปเกวียน อยู่ข้างใน / มีค่าเหลือคณา
2.มหาธุรกัณฐี วรรณะดั่งดอกหวายแห้ง แก้วน้ำผึ้งมีธนู คือ กำปุ้ง 6 ขา / ค่าแสนคำ
3.มรกตยอดเต้า วรรณะดั่งยอเต้า / ค่าแสนคำ
4.มรกตผิวไผ่ วรรณะดั่งผิวไผ่ / ค่าแสนคำ
5.มรกตบ่อน้ำตาล วรรณะเขียวดั่งใบหอม มีกำปุ้งงำกลางไหลไปมา / ค่าแสนคำ
6.เขียนยังไม่เสร็จ
———————
แสดงค่าสูงสุดของแก้วแต่ละหมวด แต่โบราณเทียบได้ดังนี้
1.มหาสักรชาติรัศมีใน ค่าเหลือคณา ไพร่มิควรทรง
2.มังคละจุลฬามณี ค่าเหลือคณา
3.สุวรรณมณีคำ มีองค์ดั่งแมงเหนี่ยงงำรัง
( แก้วเข้าแก้วโตน แร่โตน หรือเป๊กโตน ) ค่าเหลือคณา
4.แก้วก๊อวิเศษ มีสร้อยหรือสังวาลย์ใน ค่าเหลือคณา
5.มหานิลปทัมราค ค่าเหลือคณา
6.วิเทรย์เทศไข่ฟ้า ค่าเหลือคณา
7.แก้วประภา วรรณะดั่งมันสมองจรเข้ ค่าแสนคำ
8.แก้วเผือกพรหมสามหน้า ค่าห้าพันคำ

สกุลแก้วโป่งข่าม
1.แก้วสามกษัตริย์ ( มีเป๊ก 1 สกุล ) รัศมีใน ค่าสูงสุด
2.แก้วสลักช่อหรือปวกคำเข้าเป๊กแมงเหนี่ยง
เรียกว่า ก้วสุวรรณมณีคำ ค่าสูงสุด

3.แก้วเข้าเง่า แก้วเข้าปวก ไรแก้ว ค่ารองลงมา
4.แก้วสอดสี ( ปวก 3 สี 7 สี 5 สี 9 สี ) ค่ารองลงมา
5.แก้วสีฟ้าแพรแรใน ค่ารองลงมา
6.แก้วสีฟ้าควัน หมอกแพร ค่ารองลงมา
7.แก้วสีฟ้าแพรแรนอก ค่ารองลงมา
8.แก้วสีฟ้าเส้นลายฝนแสนห่า ค่ารองลงมา
9.แก้วสีฟ้าเส้นลายเปลวปล่องฟ้า ค่ารองลงมา
10.แก้วฟ้าหมอกและแก้วเนื้อลำใย ค่ารองลงมา
11.แก้วขนเหล็กฝนแสนห่า ค่ารองลงมา
12.แก้วขนเหล็กเส้นพุ่มขนบ้ง ค่ารองลงมา
13.แก้วขนเหล็กขนทะลาย ค่ารองลงมา
14.แก้วเหลือบสีประภาพรหมสามหน้า ค่ารองลงมา
15.แก้วแรมุกดาเหลือบสี ค่ารองลงมา
16.แก้วประกาย ( แก้วรุ้งเพชร ) ค่ารองลงมา
17.แก้วน้ำตันพรหมสามหน้า ค่ารองลงมา
18.แก้วอื่นๆ ค่ารองลงมา
.
.
19.แก้วน้ำหาย ค่ารองลงมา
20.แก้วน้ำขุ่น น้ำตัน สีเดียวชนิดต่างๆ ราคาถูกสุด
เทียบราคาแล้ว แก้วสามกษัตริย์ขนาด 10 กะรัดเท่ากับเพชรหรือมรกต แก้วโป่งข่ามอาจแพงกว่าเพราะเพชรและมรกตขนาด 10 กะรัด มีเงินพอหาซื้อได้ /
—————————————————-
หมวดแก้ววิตูล
1.วิตูลเทศไข่ฟ้า วรรณะดั่งประภาชื่นชม มีเงาป้านกลาง ดั่งเมฆขึ้นกลางอากาศ มีลักษณะดั่งไข่นกจันทร์ มีผิวจุ่มไว้ด้วยเหมย ( ชุ่มด้วยน้ำค้าง ) จับอยู่ / ค่าเหลือคณา
2.วิตูลน้ำผึ้ง วรรณะดั่งน้ำผึ้ง / ค่าแสนคำ
3.วิตูลประกาย มีแสงดั่งดาวประกาย / ค่าแสนคำ
4.วิตูลปทัมกาน วรรณะดั่งน้ำผึ้งไหมแสดแดงแสดเหลืองผ่านในดั่งน้ำไหล / ค่าแสนคำ
5.วิตูลน้ำตาล วรรณะดั่งน้ำตาล / ค่าสี่พันคำ
6.วิตูลเทศฟองสมุทร มีน้ำไหลในดั่งแมงเหนี่ยงงำรัง / ค่าพันคำ
7.วิตูลดอกธารบุษ วรรณะดั่งดอกธารบุษ / ค่าพันคำ
8.วิตูลปุมเป้งปา วรรณะดั่งดอกปุมเป้งปา / ค่าพันคำ
9.วิตูลดอกพุทธ วรรณะดั่งดอกพุทธรักษา / ค่าห้าพันเงิน
10.วิตูลขนทะลาย วรรณะขาวเหลือง ขนซอนกันเยื้อไปมา / ค่าห้าพันเงิน
11.วิตูลฝนแสนห่า วรรณะดั่งดอกคำ มีขนซอนขึ้น / ค่าสี่พันเงิน



คาถาบูชาแก้วโป่งข่าม
ข่ามคง, แคล้วคลาด (แก้วทุกชนิด) นะมะพะทะ นิมิพิทิ นุมุพุทุ
แก้วทุกชนิด นะอุกะอะ นะมะมะอะ มะอุมะนะ อะนะอะมะ อะอุอุมะ อุนะอุอะ
(เจริญด้วยทรัพย์สมบิติ ปราศจากโรคภัย)
พิรุณแสนห่า(หรือแก้วชนิดอื่น) พุทโธโมเธยยัง มุตโตโมเจยยัง ติณโณตาเรยยัง ปะสะหังปะตัง
หมอกมุงเมือง(หรือแก้วชนิดอื่น) เทวะรานะมานะ (ภาวนาให้เกิดความร่มเย็น)
แก้วทราย(หรือแก้วชนิดอื่น) สะมามิมิทธิมามิ (เจริญด้วยสมบัติ ร่ำรวยเงินทอง)

แก้วโป่งข่ามกับพิธีกรรม
การล้างแก้ว เชื่อกันว่าการล้างแก้วเป็นการชำระล้างสิ่งไม่ดีที่แก้วได้ซึมซับเอาไปจาก ตัวเรา โดยการนำแก้วไปล้างกับน้ำที่ไหล ซึ่งอาจจะเป็นลำธาร, ก๊อกน้ำ หรือน้ำที่รินออกจากแก้วก็ได้ (ล้างได้บ่อยเท่าที่มีโอกาส)
การขึ้นพานบูชาแก้ว จะกระทำกันในวันพระ โดยเฉพาะวันพระขึ้น 15 ค่ำ (วันเพ็ญ) โดยการนำเอาน้ำสะอาด 1 แก้ว, ดอกไม้หรือเครื่องหอม (น้ำอบ, แป้งหอม ฯลฯ) ใส่พาน และกำหนดจิตด้วย คาถาบูชาแก้ว (หากเป็น “แก้วเข้าแก้ว” ขอแนะนำให้หาหมากหนึ่งคำใส่พานด้วย)
แก้วอาบแสงจันทร์ การนำแก้วอาบแสงจันทร์ (วันเพ็ญ) เชื่อกันว่า แก้วจะดูดซับพลังจากแสงจันทร์ ซึ่งจะมีผลทำให้แก้วมีพลังอานุภาพมากยิ่งขึ้น และยังเป็นการทำให้แก้วนั้นบริสุทธิ์อีกด้วย (เป็นที่ทราบกันดีว่า ในทางวิทยาศาสตร์ระบุว่าดวงจันทร์มีพลังที่ส่งผลกระทบถึงโลก อันเป็นสาเหตุของน้ำขึ้น น้ำลง และอื่น ๆ)
การเข้าร่วมพิธีกรรม การนำแก้วเข้าร่วมพิธีกรรมต่าง ๆ ของพระภิกษุสงฆ์ เนื่องจากแก้วจะได้ซึมซับพลังจากการแผ่เมตตาจิตของพระภิกษุ

แก้วนางขวัญ (จอมขวัญ)
แก้วนางขวัญ หรือแก้วจอมขวัญ เป็นแก้วอีกชนิดหนึ่งที่หาได้ยากมาก มีสีพื้นเป็นสีม่วงอ่อน ๆ จนถึงสีม่วงเข้ม (ซึ่งหาได้ยากมาก) สีม่วงนี้จะคล้ายสีม่วงดอกตะแบก หรือม่วงไวโอเล็ต หลายคนเข้าใจว่าจะเหมือนกับอเมทิส (Amethyst) ของประเทศทางตะวันตก แต่แก้วนางขวัญเมื่อทดสอบแล้ว จะมีเนื้อแข็งกว่ามาก
คุณวิเศษของแก้วนางขวัญนี้ ดีไปในทางด้านจิต และการนั่งสมาธิ อีกทั้งยังทำให้ผู้ที่ครอบครองมีความเจริญรุ่งเรือง มีชื่อเสียง เป็นยอดในด้านเมตตามหานิยม ส่งเสริมความรักและวาสนา
ในสมัยโบราณ แก้วชนิดนี้ถือได้ว่าสูงค่ามาก ดั่งที่ว่า “มีค่าแสนคำ” เนื่องจากเป็นแก้วที่กษัตริย์โบราณถวายเป็นสักการะแก่พระบรมสารีริกธาตุใน คราวบรรจุพระธาตุเจดีย์ต่าง ๆ
อานุภาพของแก้วนางขวัญจะทำให้ผู้ที่ครอบครองมีเสน่ห์ต่อคนรอบข้าง และยังเชื่อถือกันว่าจะทำให้แคล้วคลาดจากอาถรรพ์เสน่ห์มายาทั้งปวง เพราะจิต (ขวัญ) ของคนผู้นั้นจะถูกคุ้มครองโดยอานุภาพของแก้ว ไม่ให้โดนอำนาจมนต์มายาใดใดสะกดเอาไว้ได้

เกร็ดความรู้เรื่องเขี้ยวเสือโคร่งโปร่งฟ้า


เขี้ยวเสือโคร่งกลวงหรือเขี้ยวเสือกลวงโปร่งฟ้า มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า เขี้ยวโปร่งฟ้า 
ธรรมชาติของเขี้ยวเสือปกติแล้วจะต้องตันตั้งแต่โคนถึงปลายซึ่งตรงกันข้ามกับ เขี้ยวหมูจะต้องกลวง ยกเว้นบางเขี้ยว ที่เขาเรียกว่า "เขี้ยวหมูตัน" อันนั้นเป็นของทนสิทธิ์ชั้นยอดอีกชิ้นหนึ่ง  หากเขี้ยวเสืออันไหนเกิดไม่ตันแต่กลับกลวงทั้งเขี้ยวตั้งแต่ ส่วนโคนจนถึงปลาย โบราณท่านจัดเป็นของทนสิทธิ์สุดวิเศษ เป็นของอาถรรพ์ที่มีดีอยู่ในตัวเองที่บูรพาจารย์ท่านบอกต่อๆกันมาว่า หากพบเจอที่ใดให้นำมาติดตัวไว้ เพราะเป็นของวิเศษมีอิทธิฤทธิ์รอบตัว อานุภาพของเขี้ยวเสือกลวงนั้น โดดเด่นทางด้านมหาอำนาจ ป้องกันภูตผีปีศาจ คุณไสยมนต์ดำได้ชงัดนัก อีกทั้งดีทางมหาอุด คงกระพัน แคล้วคลาดถือเป็นของกายสิทธิ์อิทธิฤทธิ์แรงกล้า จัดอยู่ชั้นแถวหน้าชนิดหนึ่งทีเดียว

วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2553

คำบูชาพระบรมสารีริกธาตุ

คำนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ

ท่านที่มีจิตศรัทธานำไปสวดบูชา พระบรมสารีริกธาตุเป็นประจำก็จะเป็น
สิริมงคล ต่อท่านและครอบครัวครับ

* อิติปิโสภะคะวา ลูกขอกราบบูชา คุณพระรัตนตรัย
ยก กรวันทา นอบน้อมบูชา ด้วยกาย วาจา ใจ
มือลูกทั้งสิบนิ้ว ยกเหนือหว่างคิ้ว ต่างธูปเทียนทอง
วงพักตร์โสภา ต่างมาลากรอง ดวงเนตรทั้งสอง ต่างประทีปถวาย
ผมเผ้าเกล้าเกศ ต่างปทุมเมศ บัวทองพรรณราย
เบ็ญจางคประดิษฐ์ กราบด้วยดวงจิต นอบน้อมบูชา

* พระบรมธาตุ พระโลกนาถ อรหันตสัมมา
ทั้งสามขนาด โอภาสโสภา ทั้งหมดคณนาสิบหกทะนาน

* พระธาตุขนาดใหญ่ สีทองอุไร ทรงพรรณสัณฐาน
เท่า เมล็ดถั่วหัก ตักตวงประมาณ ได้ห้าทะนาน ทองคำพอดี

* พระธาตุขนาดกลาง ทรงสีสรรพางค์ แก้วผลึกมณี
เท่า เมล็ดข้าวสารหัก ประจักษ์รัศมี ประมาณมวลมี อยู่ห้าทะนาน

* ขนาดน้อยพระธาตุ เท่าเมล็ดผักกาด โอภาสสัณฐาน
สีดอกพิกุล มนูญญะการ มีอยู่ประมาณหกทะนานพอดี

* พระธาตุน้อยใหญ่ สถิตอยู่ในองค์พระเจดีย์
ทั่วโลกธาตุ โอภาสรัสมี ลูกขออัญชลี เคารพบูชา

* พระธาตุพิเศษ เจ็ดองค์ทรงเดช ทรงคุณเหลือคณา
อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ เทพพิทักษ์รักษา
ลูกขอบูชา วันทาเป็นอาจิณ

* หนึ่งพระรากขวัญ เบื้องขวาสำคัญ อยู่ชั้นพรหมมินทร์
มวลพรหมโสฬส ประณตนิจสิน บูชาเป็นอาจินต์ พร้อมด้วยกายใจ

* สองพระรากขวัญ เบื้องซ้ายสำคัญ นั้นอยู่เมืองไทย
พระมหากัสสปะ พร้อมพระเถระ ห้าร้อยพระองค์
อัญเชิญเหาะมา ตามพุทธประสงค์ นำมอบแด่องค์อชุตราชราชา
ทรงฉลองสมโภช บรรจุด้วยโกศทองคำบูชา
สร้างเจดีย์ถวาย พระบรมศาสดา เรียกขานกันต่อมาว่า พระธาตุดอยตุง

* สามพระอุณหิส สถิตร่วมใน เจดีย์อุไร เมืองโยนกบุรี
ทรงพุทธทำนาย ถิ่นไทยแดนนี้ รุ่งเรืองเจริญดี มีความสมบูรณ์
สืบทอดศาสนา ขององค์พระศาสดา ครบห้าพันปี

* สี่พระเขี้ยวแก้ว ขวาบนพราวแพรว โอภาสรัศมี
อยู่ดาวดึงส์สวรรค์ มหันตเจดีย์ พระจุฬามณี ทวยเทพบูชา

* ห้าพระเขี้ยวแก้ว ขวาล่างพราวแพรว โอภาสไพศาล
สถิตเกาะแก้ว ลังกาโอฬาร เป็นที่สักการของประชากร

* หกพระเขี้ยวแก้ว ซ้ายบนพราวแพรว เพริดพริ้งบวร
สถิตคันธาระ วลัยนคร ชุมชนนิกร นอบน้อมบูชา

* เจ็ดพระเขี้ยวแก้ว ซ้ายล่างพราวแพรว รัศมีโอฬาร
สถิตพิภพ เมืองนาคบาดาล ทุกเวลากาล นาคน้อมบูชา

* พระธาตุสรรเพชร เจ็ดองค์พิเศษ นิเทศพรรณา
ทรงคุณสูงสุด มนุษย์เทวดา พากันบูชา เคารพนิรันดร์

* ด้วยเดชบูชา พระธาตุพระสัมมา สัมพุทธภควันต์
ขอ ให้สิ้นทุกข์ เป็นสุขนิรันดร์ สู่แดนพระนิพพาน ในชาตินี้ เทอญ.

* อะหังวันทามิ ธาตุโย อะหังวันทามิ สัพพะโส นิพพานะปัจจโย โหตุ *

ขอมอบพระธาตุข้าวบิณฑ์แด่พุทธศาสนิกชนทุกท่าน โดยเฉพาะในจังหวัดชัยภุมิและภาคอิสาน

article
       พระธาตุข้าวบิณฑ์ไม่จัดเป็นพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันต์ธาตุ แต่จัดเป็นพระธาตุเทพนิมิต  ตาม ตำรากล่าวว่า ในสมัยพุทธกาล สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จไปตามสถานที่ต่างๆเพื่อโปรดเวไนยสัตว์ วันหนึ่งได้เสด็จมาไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของแม่ระมิงค์เพื่อไปโปรดพวก ละว้า  พวกละว้าเหล่านั้นอยู่ในภาวะอดอยาก  ผืนดินแห้งแล้งทำการเพาะปลูกไม่ได้ผล  ต้อง หาหัวเผือกหัวมันมาต้มผสมกับข้าวกินเป็นอาหาร  เมื่อ พระพุทธองค์ได้เสด็จมาถึงที่นั่น  พวกละว้าก็เอาข้าว ผสมมันซึ่งเป็นโภชนาหารของตนมาใส่บาตร  พระบรมโลกนาถ ก็ทรงรับแล้วฉันภัตตาหารเช้า ณ ที่นั้นซึ่งเรียกว่า ดอยน้อย  เสร็จ แล้วก็ทรงให้ศีลให้พรพวกละว้าทั้งหลาย  หลังจากนั้น จึงทรงโปรดให้พระอานนท์นำข้าวในบาตรหลังจากฉันเสร็จไปเทคว่ำไว้  และแสดงปาฏิหาริย์ให้ข้าวนั้นกลายเป็นหิน  กลายเป็นพระธาตุข้าวบิณฑ์  เพื่อให้พวกลั้วะ หันมานับถือพระรัตนตรัย  แทน การนับถือผี  และเพื่อเป็นตัวแทนของพระพุทธองค์   บางคนเรียกว่า พระธาตุข้าว หรือ พระธาตุพุทธนิมิตร  ลักษณะเป็นองค์กลมๆสีขาวแกมเหลือง  พวกละว้าเมื่อเห็นดังนั้นก็เกิดเลื่อมใสศรัทธาเป็น อันมาก  พระพุทธองค์จึงทรงให้ศีล 5 และแสดงธรรม  และรับสั่งให้พวกละว้ารักษา ดอยน้อยไว้ให้ดี  ให้รักษาศีล 5 ไว้เป็นปกติ  ถ้ารักษาศีลได้ก็เหมือนอยู่ ใกล้พระพุทธองค์  ถ้ารักษาศีลไม่ได้ก็เหมือนอยู่ไกล สุดขอบฟ้าจักรวาล

มื่อพระครูบาชัยยะวงศาพัฒนา ได้มาจำพรรษาเพื่อพัฒนาวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ณ อ.ลี้ จ.ลำพูน  ท่านได้นิมิตเห็นพระธาตุข้าวซึ่งอยู่ ห่างออกไปประมาณ 200 กม. ที่ดอยเกิ้ง  ท่านจึงได้อัญเชิญพระธาตุข้าวบางส่วนมาไว้ที่วัดและแจกให้ ลูกหลานนำไปสักการบูชา  ผู้ที่อยู่ในศีลในธรรมที่มี พระธาตุข้าวไว้บูชาแล้ว  ความอดอยากขาดแคลนจะไม่ บังเกิดขึ้น  การทำมาค้าขายโดยสุจริตจะได้ผลเจริญงอก งาม  เมื่อประสงค์สิ่งใดให้ทำสมาธิ  จิตระลึก ถึงคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและครูบาชัยวงศาฯ  แล้ว ตั้งจิตขอในสิ่งที่ปรารถนา  จะได้ผลดีมากสำหรับผู้ ที่มีศีล 5 เป็นปกติ 

       ข้าวก้นบาตรที่กลายเป็นหินนี้  แต่ ละเม็ดมีเทพคุ้มครองอยู่  พระธาตุข้าวอาจเพิ่มขึ้น ได้เรื่อยๆ 
หากเกิดโรคภัยไข้เจ็บที่รับประทานยาแผนปัจจุบันแล้วไม่ สามารถบรรเทาทุกข์เวทนาให้หายลงได้  ก็ให้ทำน้ำพระ พุทธมนต์โดยจุ่มพระธาตุข้าวลงในภาชนะใส่น้ำที่จะทำน้ำพระพุทธมนต์  ตั้งจิตอธิษฐานแล้วดื่มน้ำพระพุทธมนต์นั้น  จะบรรเทาทุกข์เวทนาที่เกิดขึ้นได้


(กรุณาเดินทางมารับด้วยตนเอง ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น)

วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2553

แจกพระผงทำน้ำมนต์ พลังจิต รุ่นเหนือโลก เพื่อบรรเทาภัยพิบัติในเขตจังหวัดชัยภูมิและภาคอิสาน


เจตนาในการสร้าง

๑.  เพื่อเป็นการสร้างความศรัทธาในไตรสรณคมน์ของท่านที่ยังสงสัย  ยังมีวิจิกิจฉาในดวงจิต ว่าพุทธบารมี ธรรมบารมี สังฆบารมี มีผลจริงหรือไม่ ให้สิ้นสงสัยออกไปจากดวงจิต
๒.   เพื่อให้ท่านที่มีศรัทธาในไตรสรณคมน์อยู่แล้วยิ่งมีศรัทธาที่ตั้งมั่นไม่ แปรเปลี่ยน  มั่นคง
๓.  เพื่อให้ท่านที่มีจิตศรัทธาในปฏิปทาเพื่อส่วนรวมได้ยิ่งมั่นใจว่า สิ่งที่เราได้ทำเพื่อส่วนรวมนั้นปรากฏผลได้อย่างแน่นอน  ซึ่งจะยิ่งทำให้จิตอันเป็นกุศลของเรายิ่งเพิ่มจิตตานุภาพขึ้นตามไปด้วย

วัตถุ ประสงค์ในการสร้าง

·   ให้ผู้ปฏิบัติธรรม  ผู้มีจิตศรัทธาในไตรสรณคมน์ได้พกติดตัวเพื่อเป็นพุทธานุสติ  และ น้อมนำพุทธบารมีมาปกป้องคุ้มครองพุทธบริษัทให้ปลอดภัยจากภัยพิบัติทั้งปวง
·   องค์พระนี้พุทธบริษัทสามารถใช้อธิษฐานจิตแช่ทำน้ำพระพุทธมนต์เพื่อรักษา หรือ บรรเทาโรคภัยไข้เจ็บ  โรคระบาด  โรคเวร  โรคกรรม  ล้างอวิชชา  คุณไสย  สิ่งอัปมงคลทั้งปวง  รวมทั้งรังสีจากศัตราวุธต่างๆได้ 

ขอให้ เชื่อมั่นในพุทธบารมีที่สามารถปกป้องคุ้มครองผู้ที่ถือพระนี้ หรือแม้แต่ผู้ที่ได้ดื่มน้ำพระพุทธมนต์  ที่บังเกิดจากการแช่พระผงทำน้ำมนต์นี้เช่นกัน
ขอทุกท่านได้เชื่อมั่นใน พุทธคุณ  พุทธานุภาพ ที่พวกเราทุกๆคนมีจิตปรารถนาในการแจก ในการสงเคราะห์ผู้คนโดยส่วนรวมด้วยความบริสุทธิ์ใจ

รูปแบบองค์พระ

ข้าง หน้าเป็นรูปพระพุทธเจ้าสมเด็จองค์ปฐม

                  มียันต์ สิกขี อยู่ข้างซ้าย-ขวา องค์พระ คุณ สุชาติ อรรัตนสกุล สร้างถวาย คุณ อานุภาพ (โอ๋) บุญเกียรติ  เป็นผู้ถวายหลวงปู่ ปลุกเสกเมื่อ เดือน มีนาคม 2552 ครับ ขนาด 3.2 ซ.ม.


จำนวนการจัดสร้าง

...จำนวน สร้างพิมพ์กรรมการ...

เนื้อผงยาอนันตคุณ , ฝังพระธาตุข้าวบิณฑ์ ,พระบรมสารีริกธาตุ (รูป) 26 องค์...
เนื้อดำ ฝังพระธาตุข้าวบิณฑ์สีขาว 123 องค์...
เนื้อขาวเหลือง ตุ ฝังพระธาตุข้าวบิณฑ์  16,500 องค์
เนื้อ ขาวเหลือง ฝังพระธาตุสีแดง 70,500 องค์
พุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ

คุณโอ๋  ได้กราบหลวงปู่ศรีขอ " พลังอรหันต์...พลังเหนือโลก.." ให้มีพุทธคุณครอบจักรวาลครบทุกด้าน ทั้งกันและแก้ได้หมดทุกอย่าง  ทั้งนิวส์เคลียร์ รังสีต่างๆ โรคระบาด โรคภัยไข้เจ็บ เป็นมหาสะท้อน มหาคุ้มกันภัย มหาเมตตา มหาโชคลาภค้าขาย หนุนดวง  กลับร้ายกลายเป็นดี อีกทั้งสามารถอธิษฐานทำน้ำมนต์ตามแหล่งน้ำต่างๆได้ โดยมีรัศมีและพุทธานุภาพครอบคลุมทั้งแหล่งน้ำ  และ อธิษฐานทำน้ำมนต์รักษาโรคได้ตามที่อธิษฐาน ให้เห็นผลโดยฉับพลัน " พลังเหนือโลก " พุทธคุณสูงส่ง

การอธิษฐานจิตและการอาราธนาใช้พระใน การทำ
น้ำพระพุทธมนต์เพื่อบรรเทาภัยพิบัติ


รวบรวมญาติธรรมที่ เข้าใจในวัตถุประสงค์และมีจิตศรัทธาที่จะทำเพื่อชาติ เพื่อส่วนรวม  นัดหมายมาปฏิบัติธรรม รักษาศีล  ทำสมาธิตามแนวทางที่หมู่คณะได้ปฏิบัติมาและร่วมกันอธิษฐานจิต  ดังนี้..

(หาก มีพระสุปฏิปันโนที่ท่านเคารพนับถือ ก็ขอให้ท่านเมตตานำหมู่คณะในการอธิษฐานจิต  ท่านที่ได้มโนมยิทธิ ก็ขอให้ทรงอารมณ์ใจบนพระนิพพาน  ขอบารมีจากพระพุทธองค์โดยตรง  ท่านที่เป็นสายหลวงปู่ดู่ก็อาราธนาบารมีท่านและอธิษฐานสวดบทจักรพรรดิร่วม หลังจากอิติปิโสด้วย)


·   อิติปิ  โส  ภะคะวา  อะระหัง  สัมมาสัมพุทโธ  วิชชาจะระณะสัมปันโน  สุคะโต  โลกะวิทู   อะนุตตะโร  ปุริสสะธัมมะสาระถิ  สัตถาเทวะมนุสสานัง  พุทโธ  ภะคะวาติ
·    สวากขาโต  ภะคะวะตา  ธัมโม  สันทิฎฐิโก  อะกาลิโก  เอหิปัสสิโก  โอปะนะยิโก  ปัจจัตตัง  เวทิตัพโพ  วิญญูหิติ

·   สุปะฏิปันโน  ภะคะวะโต  สาวะกะสังโฆ  อุชุปฏิปันโน  ภะคะวะโต  สาวะกะสังโฆ  ญายะปฏิปันโน  ภะคะวะโต  สาวะกะสังโฆ  สามีจิปฏิปันโน  ภะคะวะโต  สาวะกะสังโฆ   ยะทิทัง  จัตตาริ  ปุสริสะ  ยุคานิ   อัฏฐะ  ปุริสะปุคคะลา   เอสะ   ภะคะวะโต  สาวะกะสังโฆ  อาหุเนยโย  ปาหุเนยโย  ทักขิเนยโย  อัญชะลีกะระนีโย   อะนุตตะรัง  ปุญญะเขตตัง  โลกัสสาติ


“ข้าพเจ้า ทั้งหลายขอตั้งจิตอธิษฐานด้วยดวงจิตอันบริสุทธิ์   ขอกราบอาราธนาบารมีคุณพระพุทธเจ้า   พระธรรมเจ้า  พระอริยสงฆ์เจ้า  มากมายยิ่งกว่าเม็ดทรายในท้องมหาสมุทร  บารมีสามสิบทัศน์แห่งพระโพธิสัตว์และพระมหาโพธิสัตว์เจ้าทุกๆพระองค์  บารมีแห่งเทพพรหมเทวาสัมมาทิฐิ  คุณบิดามารดา  ครูอุปัชชาอาจารย์   ท่านผู้มีพระคุณ  พระบรมเดชานุภาพแห่งองค์พระมหาบูรพกษัตริยาธิราชเจ้าผู้ทรงพระคุณอัน ประเสริฐทุกๆพระองค์   พระสยามเทวาธิราช ผู้รักษาชาติไทย  มีพระธรณี  แม่พระคงคา  แม่พระโพสพ  พ่อพระเพลิง  พ่อพระพาย  ตลอดจนหมู่นาคา พญาครุฑทั้งหลาย


ขอจงได้รวมบารมีมาสถิตรักษาข้าพเจ้าทั้งหลายและ ครอบครัว  ขออาราธนาพุทธานุภาพ คุ้มครองอันศักดิ์สิทธิ์  ชำระล้างปัดเป่าภัยพิบัติทั้งปวงให้ปลาสนาการสิ้นไปจากเขตคามแห่งนี้   ขออำนาจแห่งพุทธคุณ  ทำให้สิ่งอัปมงคล  คุณไสย  อวิชชา  คุณผี  คุณคน ทั้งปวงสลายตัวสิ้นไปจากผู้ที่ได้สัมผัสพุทธานุภาพนี้

ขอให้โรคภัย ไข้เจ็บ  โรคระบาด  โรคเวร  โรคกรรม  โรคอันเกิดจากเจ้ากรรมนายเวร

ทั้ง ปวง จงสิ้นไปจากผู้ได้สัมผัสพุทธานุภาพ   ขอให้รังสีจากศัตราวุธทั้งปวงจงสลายตัวจนหมดสิ้นด้วยอำนาจพุทธคุณนี้

ขอ ให้ไทยธำรงคงความเป็นชาติไว้ตราบนานเท่านาน 

ขอให้พระพุทธศาสนา เจริญรุ่งเรืองดั่งสมัยพุทธกาลดำรงคงมั่นตราบเท่า ๕,๐๐๐ ปี

ขอพระมหา กษัตริย์ผู้ทรงความเป็นธรรมมิกราชเจ้า  สืบสายรักษาแผ่นดินไทยและอาณาประชาราษฎร์ตลอดไปไม่มีที่สิ้นสุด  มีศีล  มีธรรม  ใต้ร่มพระบารมีและขอให้ผืนแผ่นดินไทยในเขตคามที่ข้าพเจ้าทั้งปวงมีจิต สามัคคีร่วมจิตกัน  ด้วยแรงกตัญญูต่อแผ่นดินเกิดนี้ ขอจงอุดมสมบูรณ์  ร่มเย็นเป็นสุข   ผู้คนทั้งหลายมีศีลธรรมประจำใจ  ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ธัญญาหาร  พฤกษาหาร  มังสาหาร  อุดมสมบูรณ์  มีแต่สิ่งดีงามในเขตคาม  เจริญจิต  เจริญธรรมเป็นอาณาจักรแห่งสัมมาทิฐิด้วยเทอญ”


ความ ศักดิ์สิทธิ์จะปรากฏเมื่อ  พวกเราร่วมจิตกัน  วางกำลังใจปรารถนาดีต่อส่วนรวมกันอย่างแท้จริง  มีศรัทธามั่นคงในพุทธบารมีอย่างไม่ลังเลสงสัย   สามัคคีธรรมที่ร่วมใจกันทำอภิจิตให้จะทำให้อำนาจแห่งสมาธิรวมตัวกัน (ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น แต่กรุณาเดินทางมารับด้วยตัวเอง)